วันที่ 12 ก.ค. 64 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงผลการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่า ที่ประชุมเห็นชอบการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดสให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า โดยให้วัคซีนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 ในระยะตั้งแต่ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนสองเข็มเกิน 4 สัปดาห์แล้ว ดังนั้นจะสามารถฉีดบูสเตอร์โดสได้ทันที เพื่อกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันสูงแก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า ที่เสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโควิดจากการดูแลผู้ป่วย ทั้งนี้การฉีดบูสเตอร์โดสจะเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นหลัก
นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการใช้ชุดตรวจด้วยตัวเอง หรือ Rapid Antigen Test เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการตรวจหาเชื้อ ประชาชนจะได้ไม่ต้องรอคิวนานในการไปตรวจหาเชื้อ อย่างไรก็ดีชุดตรวจดังกล่าวจะต้องผ่านการรับรองจาก อย. ซึ่งปัจจุบันมีผู้มีขึ้นทะเบียนแล้ว 24 ราย โดยจะอนุญาตให้ตรวจในสถานพยาบาล หรือหน่วยตรวจที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 300 แห่ง และเร็วๆนี้จะอนุญาตให้ตรวจเองที่บ้าน
พร้อมกับเห็นชอบแนวทางการแยกกักที่บ้านและในที่ชุมชน สำหรับผู้ป่วยโควิดที่เงื่อนไขเหมาะสมในการแยกกักที่บ้าน ส่วนผู้ป่วยที่ยังไม่สามารถเข้ารับการักษาในรพ.ได้ แต่ที่ไม่มีอาการรุนแรงใช้ Home Isolation หรือการแยกกันในชุมชนุม(Communication Isolation) เป็นการแยกกักในผู้ที่ในบ้านมีผู้คนจำนวนมาก และในการแยกกักจะมีอุปกรณ์วัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจน วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด และมียา โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)จัดทำแนวทางแล้ว และมีอาหาร โดยสปสช.จะร่วมมือกับรพ.ที่เป็นเจ้าภาพในการดูแล
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ยังเห็นชอบการฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับชนิด โดยเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า ระยะห่างกัน 3-4 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า โดยโรงพยาบาลต่างๆ สามารถดำเนินการได้ทันที เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่เสียสละดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง