อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา แจงชัด ข้อ กม. ฟ้อง นายกฯ ไม่ได้

อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ยกข้อกฎหมายชัด ฟ้องนายกฯ ไม่ได้ หลัง หลายกลุ่มจ่อฟ้อง อ้าง ล้มเหลวบริหารจัดการโควิด

นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีที่มีข่าวว่า มีบุคคลหลายกลุ่มจะฟ้องนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่า ล้มเหลวในการบริหารสถานการณ์โควิด-19 และการบริหารทางสาธารณสุข เพราะความบกพร่องอย่างร้ายแรงของนายกรัฐมนตรี ที่ปล่อยปละละเลยจนเกิดการแพร่ระบาดถึง 4 ระลอก รวมทั้ง บริหารจัดการวัคซีนผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง

ในข้อหาปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๓ วรรคสอง บัญญัติว่า ความใน
วรรคหนึ่งมิให้รวมถึง
(๑) คดีที่อยู่ในอํานาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
.บทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๑๐ บัญญัติว่า ศาลมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดี ดังต่อไปนี้
(๑) คดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาว่าผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองเฉพาะตามที่บัญญัติไว้ ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๔ บัญญัติว่า
“ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง” หมายความว่า
(๑) นายกรัฐมนตรี ฯลฯ “ทุจริตต่อหน้าที่” หมายความว่า ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทําให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตําแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อแสวงหาประโยชน์ ท่ีมิควรได้โดยชอบสําหรับตนเองหรือผู้อื่น หรือกระทําการอันเป็นความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการหรือ ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามกฎหมายอื่น

ตามบทบัญญัติของ พรป. ว่าด้ายการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และ พรป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ดังกล่าวสรุปได้ว่า
นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ดำรงแหน่งทางการเมือง
การกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
คือการกล่าวหาว่าทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย

จึงเป็นคดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาว่าผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ย่อมอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เมื่อเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ก็ไม่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
จึงน่าจะฟ้องนายกรัฐมนตรีในข้อหาดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางไม่ได้

KS402CQC 1

MyEIt10W 2

Wo0FMn0I 3