“สสจ.เลย” แจงปมทหารฉีดไฟเซอร์ เจ้าตัวเป็นบุคลากรการแพทย์ รพ.ศรีสองรัก

“สสจ.เลย” แจงปมทหารฉีดไฟเซอร์ เจ้าตัวเป็นบุคลากรการแพทย์ รพ.ศรีสองรัก

นายแพทย์ปรีดา วรหาร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเลย แถลงถึงการบริหารจัดการวัคซีนของจังหวัดเลย หลังเกิดกรณีดราม่ามีนายทหารได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ว่า เมื่อจัดได้รับจัดสรรวัคซีนจะนำเข้าสู่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเลย เพื่อจัดสรรให้หน่วยงานต่างๆ ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ เราได้รับจัดสรรจากส่วนกลาง 3,120 โดส ฉีดไปแล้ว 2 พันกว่าโดส ทั้งนี้จังหวัดเลยได้บริหารจัดการตามหนังสือข้อสั่งการกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2564 ใช้กับใครบ้าง และใครได้วัคซีนซิโนแวค 2 เข็มมาแล้ว ให้ฉีดบูสเตอร์โดสด้วยไฟเซอร์ ถ้าไม่เคยได้รับมาก่อน สามารถรับการฉีดไฟเซอร์ 2 เข็มได้ ระยะห่างกัน 3 สัปดาห์ ซึ่งกรณีนายทหารยศสิบเอกที่เป็นข่าวฉีดวัคซีนไฟเซอร์นั้น ได้รับการฉีดไฟเซอร์เข็มที่ 1 และเป็นไปตามเกณฑ์กลุ่มเป้าหมายที่กระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งไว้ ส่วนที่ใบรับฉีดวัซีนมีคำว่า สิทธิโครงการพิเศษนั้น ตนขอชี้แจงว่า สิทธิโครงการพิเศษจังหวัดเลยใช้ในใบเอกสารที่จะไปฉีดวัคซีนทุกราย เนื่องจากเป็นวัคซีนที่เราจัดให้ฟรี ไม่มีค่าบริการ

ขณะที่ พันโทครรชิต ดำรงค์พิวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายศรีสองรัก กล่าวว่า กำลังพลนายนี้ชื่อ สิบเอกนพดล มณีชื่น ปัจจุบันเป็นนายสิบพยาบาล ประจำหมวดพลเสนารักษ์ โรงพยาบาลค่ายศรีสองรัก ปฏิบัติหน้าที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลค่ายศรีสองรักษ์ เดิมกำลังพลนายนี้ได้ไปจองวัคซีนโมเดอร์นาไว้ กำหนดรับวัคซีนเดือนตุลาคม แต่สถานการณ์ระบาดของจังหวัดเลย เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด ขณะที่โรงพยาบาลค่ายศรีสองรัก ปัจจุบันได้รับผู้ป่วยยืนยันโควิดรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว 1 ราย ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2564 รวมถึงความห่วงใยกำลังพลสายแพทย์ของผู้บังคับบัญชา จึงให้กำลังพลสายแพทย์ได้รับวัคซีนทุกนาย หน่วยจึงได้ส่งรายชื่อกำลังพลนายนี้ไปรับวัคซีนไฟเซอร์ ตามเงื่อนไขของกระทรวงสาธารณสุขกำหนด แต่ด้วยความดีใจหรืออาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของกำลังพลนายนี้ ได้โพสต์ทำให้ประชาชนและสี่อโซเชียลเข้าใจคลาดเคลื่อน หน่วยจึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงให้รับทราบ

ด้านนายโสภณ สุวรรณรัตน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเลย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้โรงพยาบาลค่ายศรีสองรัก ได้มอบอาคารทำโรงพยาบาลสนาม ซึ่งมีถึง 400 เตียนง ดังนั้นบุคลากรของเราที่ไปรับวัคซีนก็อยู่ในเงื่อนไข เพราะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ก็ต้องขอกราบอภัยพี่น้องประชาชน ที่โพสต์จนทำให้อาจเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน